แกรนด์แคนย่อยเมืองสยาม คือแก่งหินงามสามพันโบก
นายเรืองประทิน เขียวสด ครูโรงเรียนบ้านสองคอน ซึ่งเป็นในผู้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าว ระบุว่า สามพันโบก ถือว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในลำน้ำโขงเท่าที่ทราบกันมา ซึ่งในบริเวณเดียวกัน มีสถานที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า แกรนแคนยอนน้ำโขง อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำหลายพันปี เป็นร่องน้ำขนาดใหญ่ สูงประมาณ 3-7 เมตร กว้างประมาณ 20 เมตร
แก่งหินสามพันโบก เป็นกลุ่มหินทรายแนวเทือกเขาภูพานตอนปลายที่ทอดตัวยาวริมฝั่งโขงไทยและลาว สายน้ำแคบและเป็นคุ้งน้ำ ณ เส้นรุ้งที่ N.15 องศา 47.472 ลิปดา และเส้นแวงที่ E.105 องศา 23.983 ลิปดา ริมฝั่งโขงบริเวณนี้เป็นกลุ่มหินที่เรียงตัวทอดยาว เป็นสันดอนขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ผาหินบริเวณโค้งด้านหน้ารับแรงน้ำที่ไหลจากตอนบน ก่อเกิดประติมากรรมธรรมชาติที่งดงาม
จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โบก อันเกิดจากกระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน ทราย และเศษไม้ กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง มีขนาดเล็กๆจนถึงขนาดใหญ่จำนวนมากมาย หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ รูปมิกกี้เมาส์จากโบกจำนวนมากมาย จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า สามพันโบก
แก่งสามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก ประมาณเดือนกรกฏาคม – เดือนตุลาคม และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายน ทุกปี
เปิดตำนานสามพันโบก
จากประติมากรรมหินทรายที่มีรูปร่างดงามแปลกตา ก่อเกิดตำนานเรื่องเล่าตำนานพญานาคชุดแม่น้ำโขง ทุ่งหินเหลื่อม หินหัวสุนัข และปู่จกปู
ตำนานหินหัวสุนัข ทางเข้าของแกรนด์แคนยอนแม่น้ำโขง มีหินสวยงามลักษณะคล้ายหัวสุนัข ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันต่างๆ นานา บ้างก็ว่า แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจประทับใจความงามของสามพันโบก จึงได้ส่งเสนามาศึกษาเพิ่มเติม เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำ จึงให้สุนัข เฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา เมื่อเจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความโลภ กลัวเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนตายในที่สุด บางตำนานก็ว่าลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดเพื่อให้เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่งและได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้าทางระหว่างการขุดจนกระทั่งสุนัขได้ตายลงกลายเป็นหินรูปสุนัขในที่สุด
ตำนานหาดหินสี หรือทุ่งหินเหลื่อม ทุ่งหินเหลื่อมอยู่ในพื้นที่บ้านคำจ้าว ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร เป็นกลุ่มหินสีที่มีลักษณะแปลกตา คือหินแต่ละก้อน จะมีผิวเรียบเป็นมันประกอบด้วยสีเหลือง เขียว ม่วง น้ำเงิน มีขนาดตั้งแต่ก้อนเล็กเท่ากำปั้นและก้อนใหญ่สุดมีขนาดใหญ่กว่า 3 เมตร กระจายเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มใหญ่ หินแต่ละก้อนถ้านำมาเรียงต่อกันจะเชื่อมกันได้สนิทคล้ายจิ๊กซอว์หินสี จากตำนานชาวบ้านที่เล่าขานต่อกันว่ากลุ่มหินสีดังกล่าวคือทองคำพญานาค ซึ่งเกิดจากการขุดสร้างแม่น้ำโขงของพญานาคตัวพ่อและตัวแม่ ส่วนร่องน้ำเล็กที่คู่ขนานกับแม่น้ำโขงเป็นผลงานของลูกพญานาคที่ขุดเล่น จนเกือบทะลุกับแม่น้ำโขง ลูกพญานาคพบหินเหมือนทองคำ จึงขุดขึ้นกองไว้เป็นบริเวณกว้างประมาณ 2 ไร่
ทุ่งหินเหลื่อม ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาศึกษาอย่างเป็นทางการ จึงมีคำถามที่รอคำตอบมากมาย ว่าหินกลุ่มนี้มากจากไหน หรือเกิดขึ้นอย่างไร และคำตอบจากนักท่องเที่ยวทุกคนคือ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาตินั่นเอง
ตำนานปู่จกปู หลุมโบกที่เกิดขึ้นมากมาย ก่อเกิดเรื่องเล่า ปู่พาหลานมาจับปาบริเวณถ้างต้อน (ต้อนเป็นเครื่องมือดักปลาของคนอีสาน) บังเอิญไม่สามารถจับปลาได้จึงใช้มือล้วงปูหินริมน้ำโขงจนเกิดโบกจำนวนมาก
สามพันโบกในอดีต เป็นแหล่งที่ชาวบ้านมาจับปลาในหน้าแล้งตามหลุมแอ่ง โบก และสระบุ่ง เนื่องจากลุ่มแอ่งจำนวนมากมายเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดจำนวนมากที่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงใช้สำหรับการดำรงชีพ
สามพันโบกเริ่มเป็นที่รู้จัก และปรากฏสู่สายตานักท่องเที่ยว เมื่อนายเรืองประทิน เขียวสด ครูโรงเรียนบ้านสองคอน ผู้บุกเบิกได้พบความงามของสามพันโบก จึงได้ชวน นายสมชาติ เบญจถาวรอนันท์ เว็บมาสเตอร์ไกด์อุบลดอทคอม นายชาย บุดดีวัน ผู้ใหญ่บ้านโป่งเป้าและ อบต.เหล่างาม จัดกิจกรรม แคมปิ้ง เพื่อการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อเว็บไซต์ ชุดกิจกรรมนอนกลางโขงชมทะเลดาว เมื่อเดือน 15-16 ธันวาคม 2549 ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนชอบท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี เขต 2 (ปัจจุบันเป็น ททท.สำนักงานอุบลราชธานี) ได้นำแหล่งท่องเที่ยวนี้ เข้าในกิจกรรมท่องเที่ยวแม่น้ำโขงรับตะวันใหม่ก่อนใครในสยามมาตลอด
สามพันโบกได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อโฆษณาของ ท.ท.ท. ชุด เที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก เริ่มออกฉายภาพ สถานที่ท่องเที่ยวซึงเป็นฉากจบของโฆษณาชุดนี้จึงกลายเป็นคำถามว่า ที่ไหนกัน เมืองไทยมีที่แห่งนี้ด้วยหรือ นับตั้งแต่นั้นมา แก่งสามพันโบก จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่กำลังเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวติดอันดับประดับประเทศ
การเที่ยวสามพันโบก
การเดินทางไปเที่ยวชมสามพันโบก อยู่ห่างจากจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 120 กม. ตามทางหลวงอุบล - ตระการ - โพธิ์ไทร ทำได้ 2 ทางคือ
1. เดินทางท่องเที่ยวทางเรือ ไปยังแก่งสามพันโบก นิยมนั่งเรือจากหาดสลึงที่บ้านปากกะกลาง ต.สองคอน ล่องตามลำน้ำโขงระยะทาง 4 กิโลเมตร ระกว่างทางจะผ่าน “ปากบ้อง” จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขง หาดสลึง หินหัวพะเนียง เป็นแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย หรือสองคอนในภาษาท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านสองคอนและสามพันโบก ศิลาเลข หาดหงส์ รายละเอียดเส้นทางเที่ยวทางเรือ
ปากบ้อง เป็นจุดชมวิวที่หมู่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลพาดปะทะแนวเทือกเขาภูพานตอนปลาย การปะทะกันของพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดภูมิประเทศที่มหัศจรรย์มากมาย ซึ่งจะสัมผัสได้ยามที่แม่น้ำโขงลดระดับลงได้ที่ในยามฤดูแล้งราวเดือนพฤศจิกายน - มิถุนายน ตลอดระยะทางที่ไหลผ่านประเทศไทย ยาวกว่า 700 กิโลเมตร เป็นจุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุด “ปากบ้อง” เป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายเปลือกโลก ลักษณะเหมือนคอขวด ส่วนที่แคบที่สุดวัดได้ 56 เมตร
หินหัวพะเนียง อยู่ในพื้นที่หมู่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทย จังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็น เกาะหินขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขงรูปร่างคล้ายอุปกรณ์ประกอบคันไถ อยู่ถัดจากบริเวณปากบ้องขึ้นไปทางเหนือประมาณ 500 เมตร เกาะหินใหญ่โผล่ขวางกลางลำน้ำโขง หินหัวพะเนียง มีรูปร่างคล้ายใบไถไม้ (ในภาษาถิ่น พะเนียงคือแท่นไม้ที่ใช้สวมใบไถเหล็ก) ชาวบ้านจึงเรียกว่า หินหัวพะเนียง แต่ลักษณะหินในบริเวณนี้บางกลุ่มจะเป็นช่อแหลมคม ซึ่งเกิดจากการปะทุขึ้นมาของหินทรายร้อนคล้ายหินภูเขาไฟ แต่ไม่ใช่แมกมาหรือลาวา เมื่อปะทุขึ้นมาปะทะกับกระแสน้ำเย็นจึงแข็งตัวกลายเป็นหินที่มีลักษณะเป็นช่อเรียกว่า “หินหัวพะเนียง” เป็นเกาะกลางแก่งหินกลางแม่น้ำที่ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย
หาดสลึง
จุดชมวิวหาดสลึง
แก่งสองคอน เกิดจากการเกาะหินหัวพะเนียงกลางลำน้ำโขงซึ่งเป็นเกาะหินขนาดใหญ่รูปลักษณ์แปลกตาที่ขนาบข้างด้วย 2 แก่งน้ำโขง ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสายหรือสองคอน (ในภาษาถิ่นคอนแปลว่าแก่ง) จึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านสองคอน
หาดสลึง เป็นหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำมูล ตั้งอยู่บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 115 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 2050 (อุบลฯ – ตระการพืชผล – โพธิ์ไทร) ในฤดูแล้ง ประมาณมกราคม – มิถุนายน เมื่อน้ำในแม่น้ำโขงลดระดับลง จะมีหาดทรายที่สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง จากตำนานเชื่อกันว่า ชื่อหาดสลึง เกิดจากการที่คนมาเล่นน้ำช่วงสงกรานต์นานมาแล้ว ในสมัยที่ใช้เหรียญสลึง 1 สลึงสมัยนั้น มีค่าสามารถซื้อควายได้ 1 ตัว ตามนิสัยของคนไทยบางคนเมื่อมารวมกันมาก มักจะมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ผู้ที่มาเล่นน้ำที่หาดแห่งนี้ได้ตั้งคำท้าทายความสามารถโดยมีเดิมพันว่า ณ กลางเดือนเมษายน เวลาเที่ยงวันถ้าใครสามารถเดินหรือวิ่งบนหาดได้ตลอดแนว (ยาว 860 เมตร) โดยไม่แวะพักระหว่างวิ่ง จะได้รับเงินเดิมพัน 1 สลึง นับตั้งแต่มีการเดิมพันมาไม่เคยมีใครได้รับรางวัลนี้เลย ชาวบ้านจึงขนานนามหาดแห่งนี้ว่า “หาดสลึง”
เครื่องมือจับปลาแบบเดียวกับภาพเขียนสีผาแต้ม
การตักปลา
การตักปลาที่บ้านสองคอน ชาวบ้านสองคอนยังมีงานประเพณีที่น่าสนใจ คือประเพณี ตักปลาในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่นตั้งใจมาดูเป็นพิเศษ คือการ “ตักปลา” หน้าปากบ้อง เพราะเป็นการจับปลาที่แปลกประหลาดกว่าที่อื่นๆ ไม่ต้องใช้เหยื่อตกเบ็ดหรือทอดแห แต่ใช้สวิงขนาดใหญ่ด้ามยาวคล้ายสวิงจับแมลงขนาดใหญ่คอยตักปลาที่วายจากเวินน้ำกว้างจะแหวกว่ายผ่านปากบ้องทวนกระแสน้ำเพื่อขึ้นไปวางไข่ได้ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลตักปลา” ช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ของทุกปี มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก การท่องเที่ยวทางน้ำในช่วงเวลานี้นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวเพื่อชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตพื้นบ้าน ชมการประมงแบบดั้งเดิมที่น่าสนใจ ณ ตำบลสองคอนและตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
หินพัวพะเนียง
จุดชมวิวบนหินหัวพะเนียง
หินหัวพะเนียง อยู่ถัดจากบริเวณปากบ้องขึ้นไปทางเหนือ มีแก่งใหญ่ขวางกลางลำน้ำโขง ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสาย หรือสองคอนในภาษาท้องถิ่นจึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านสองคอน และในบริเวณใกล้เคียงยังมีถ้ำที่มีความสวยงามในลำน้ำโขงประกอบด้วย ถ้ำนางต่ำหูกหาดหินสี, แก่งสองคอน, ภูเขาหิน และหาดแห่
ผาหินศิลาเลข ร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจ ในแถบอินโดจีน ฝรั่งเศสได้นำเรือกลจักรไอน้ำขนส่งสินค้าระหว่าง หลี่ผี เวียงจันทน์อยู่ก่อนถึงหาดหงส์ ที่ฝรั่งเศสแกะสลักตัวเลขที่หน้าผาหิน สำหรับบอกระดับน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ เนื่องจากหน้าที่น้ำหลากบริเวณนี้จะมีแนวหินโสโครกจำนวนมาก
หาดหงส์ เนินทรายแม่น้ำโขงขนาดมหึมาเกิดจากการพัดพาของน้ำและนำตะกอนทรายมาทับถมกันจนลักษณะพื้นที่เป็นพื้นทรายกว้างใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับทะเลทรายที่กว้างใหญ่ ช่วงเวลาที่นิยมมาเที่ยวหาดหงส์จะเป็นช่วงเวลาในยามบ่ายแก่ๆ ช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่สวยงามมาก เพราะแสงทองของดวงอาทิตย์จะกระทบกับทรายสีขาวระยิบระยับสวยงามยิ่งนัก
2. ขับรถเที่ยว คือ หากต้องการไปชมสามพันโบกอย่างเดียวก็สามารถขับรถไปที่นั่นเพื่อชมความงามได้เลย เพราะที่สามพันโบกรถสามารถเข้าไปจอดที่นั่นได้เลย
สามพันโบก เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินดังกล่าวจะจมอยู่ใต้บาดาล และด้วยแรงน้ำวนกัดเซาะ ทำให้แก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็ก ใหญ่ จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง หรือ 3 พันโบก โบก หรือแอ่ง หมายถึง บ่อน้ำลึกในแก่งหินใต้ลำน้ำโขง และคำว่า “โบก” เป็นภาษาของลาวที่มักนิยมเรียกกัน และ สามพันโบก กลายเป็นที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด ในลำน้ำโขงตามธรรมชาติ แหล่งใหญ่ที่สุด รักษาระบบนิเวศน์และการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำในลำน้ำโขงให้อยุ่ได้อย่างสมดุล
สำหรับในช่วงหน้าแล้ง สามพันโบก จะโผล่พ้นน้ำให้เห็นเป็นคล้ายภูเขากลางลำน้ำโขง ความสวยงามวิจิตรของหินที่ถูกน้ำเซาะมองเห็นเป็นภาพศิลปะ บางแห่งใหญ่ขนาดเป็นสระว่ายน้ำ บางแอ่งขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไปเช่น รูปดาว วงรี และหินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนดูคล้ายรูปหัวสุนัขพุดเดิ้ล มีความสวยงาม
สามพันโบก ธรรมชาติอันงามอัศจรรย์ตามลำน้ำโขง วิธีไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสุดฮอตแห่งปี
AWii(เอวี่)ไทบ้านเฮา
ท่องเที่ยวอีสาน อิ่มเอมวัฒนธรรม ชมความงามธรรมชาติ
อลังการแห่งปราสาทหิน
เขมรกับไทยมีความสัมพันธ์กันมาช้านาน มีเรื่องเล่าว่า ถ้าไม่มีเขมร คนไทยก็จะหายใจไม่ได้และเดินไปไหนไม่ถูก เพราะคำว่าจมูกและคำว่าเดินมาจากภาษาเขมร ดังนั้น การมีปราสาทหินอารยธรรมขอมมากมายในดินแดนไทยจึงนับเป็นเรื่องปรกติ ไม่มีอะไรแปลกประหลาด
ปราสาทหินนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอีสาน และมีจำนวนมากมาย ตั้งแต่ใต้สุดของจังหวัดอุบลราชธานี ไปจนถึงเหนือสุดที่พระธาตุนารายณ์เจงเวง จังหวัดสกลนคร ในบรรดาปราสาทหินอารยธรรมขอมจำนวนมากมายเหล่านี้ อาจจำแนกออกได้เป็นสิ่งก่อสร้าง 1 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ ศาสนสถาน ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟที่สร้างไว้เพื่อเป็นที่พำนักของคนเดินทาง และอโรคยศาลาหรือโรงพยาบาล ที่มีแพทย์คือ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นหมอ
ปราสาทหินอันเป็นที่รู้จักในภาคอีสานและเป็นสุดยอดในด้านต่างๆ ตัวอย่างเช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินทรายสีชมพูบนปากปล่องภูเขาไฟแห่งเมืองบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทที่เป็นดังตันแบบแห่งปราสาทหลายแห่งในเมืองเสียมเรียบ ปราสาทตาเมือน ที่มีทั้งอโรคยศาลาและธรรมศาลาครบครัน อยู่ใกล้ๆ ปราสาทหินพนมวัน ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทสระกำแพงน้อย และปราสาทศรีขรภูมิ เป็นต้น
และถ้าจะให้ยกปราสาทใดเป็นปราสาทหินสุดยอดอีสาน อ.ส.ท. เราขอยกให้ปราสาทพนมรุ้งเป็นปราสาทหินสุดยอดอีสานของไทย เหตุผลก็คือ สุดยอดทั้งความสวยงามทางด้านศิลปะสถาปัตยกรรม ตลอดจนมีสภาพที่ตั้งที่โดดเด่นท้าทาย คือตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงตามคติจัตรวาล อีกทั้งตัวโบราณสถานก็ได้รับการบูรณะให้มีสภาพดี ให้นักท่องเที่ยวพอได้เห็นค้ารางแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เป็นการเสริมจินตนาการในการเที่ยวชมได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น
เที่ยวอีสานก่อนประวัติศาสตร์
เหตุการณ์สนุกๆ อย่างเช่น การต่อสู้กันของไดโนเสาร์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ มีชื่อภาษาอังกฤษเรียกยากๆ นั้น เป็นเหตุการณ์ที่นำมาจำลองและจัดแสดงสาธิต เป็นการให้ความรู้ความบันเทิง และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมายจนกลายเป็นจุดเด่นหนึ่งของการท่องเที่ยวอีสานไปแล้ว
ประวัติศาสตร์ของอีสานเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุกก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบซากกระดูกของไดโนเสาร์หลากพันธุ์หลายตระกูล ทั้งชนิดเนื้อและกินพืช โดยเฉพาะในเขตภาคอีสานตอนกลาง อันเป็นพื้นที่แถบเทืองเขาภูพาน จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร ขอนแก่น นอกจากซากไดโนเสาร์ ยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ภาพเขียนสีที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็คลี่คลายมาสู่ยุคแห่งตำนาน เรื่องราวของเมืองโบราณต่างๆ ที่ถูกทับซ้อนอยู่ด้วยเมืองสมัยใหม่ นิทานในประวัติศาสตร์อย่างอุสา-บารสท้าวปาจิตต์กับนางอรพิมพ์ และสังข์ศิลป์ไชย ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเป็นบ้านเป็นเมืองในยุคก่อนของอีสาน ก่อนจะถึงช่วงแห่งการเผยแพร่เข้ามาของอารยธรรมขอม และมาสุดปลายทางที่การทิ้งร้างบ้านเมืองต่างๆ ออกไปด้วยเหตุผลที่ยังคงลี้ลับ ก่อนที่กลุ่มชนไทยลาวจะอพยพโยกย้ายกันข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินที่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนหน้าแล้ว และพลิกฟื้นผืนแผ่นดินอีสานให้กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง
ความเป็นดินแดนแห่งไดโนเสาร์นับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญของการท่องเที่ยวอีสานทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ขึ้นมากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งมีการจัดแสดงที่ทันสมัยสวยงาม ถ้าจะเทียบกับการค้นพบภาพวาดที่ผาแต้ม หรือลวดลายหม้อไหบ้านเชียงนับว่ามีจุดเด่นกันคนละด้าน แต่กับนักท่องเที่ยวชาวไทย ยังนับว่าไดโนเสาร์ได้เปรียบกว่า เพราะฉะนั้น ไดโนเสาร์จึงเป็นสุดยอดที่เหนือกว่าเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ใดๆ ของอีสานครับ
ประวัติศาสตร์ของอีสานเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุกก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบซากกระดูกของไดโนเสาร์หลากพันธุ์หลายตระกูล ทั้งชนิดเนื้อและกินพืช โดยเฉพาะในเขตภาคอีสานตอนกลาง อันเป็นพื้นที่แถบเทืองเขาภูพาน จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร ขอนแก่น นอกจากซากไดโนเสาร์ ยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ภาพเขียนสีที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็คลี่คลายมาสู่ยุคแห่งตำนาน เรื่องราวของเมืองโบราณต่างๆ ที่ถูกทับซ้อนอยู่ด้วยเมืองสมัยใหม่ นิทานในประวัติศาสตร์อย่างอุสา-บารสท้าวปาจิตต์กับนางอรพิมพ์ และสังข์ศิลป์ไชย ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเป็นบ้านเป็นเมืองในยุคก่อนของอีสาน ก่อนจะถึงช่วงแห่งการเผยแพร่เข้ามาของอารยธรรมขอม และมาสุดปลายทางที่การทิ้งร้างบ้านเมืองต่างๆ ออกไปด้วยเหตุผลที่ยังคงลี้ลับ ก่อนที่กลุ่มชนไทยลาวจะอพยพโยกย้ายกันข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินที่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนหน้าแล้ว และพลิกฟื้นผืนแผ่นดินอีสานให้กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง
ความเป็นดินแดนแห่งไดโนเสาร์นับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญของการท่องเที่ยวอีสานทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ขึ้นมากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งมีการจัดแสดงที่ทันสมัยสวยงาม ถ้าจะเทียบกับการค้นพบภาพวาดที่ผาแต้ม หรือลวดลายหม้อไหบ้านเชียงนับว่ามีจุดเด่นกันคนละด้าน แต่กับนักท่องเที่ยวชาวไทย ยังนับว่าไดโนเสาร์ได้เปรียบกว่า เพราะฉะนั้น ไดโนเสาร์จึงเป็นสุดยอดที่เหนือกว่าเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ใดๆ ของอีสานครับ
สายน้ำฉ่ำเย็น แม่น้ำโขง ชี มูน
สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 เป็นสะพานนานาชาติแห่งแรกที่พาดข้ามไปบนแม่น้ำสายนี้ เชื่อมมิตรภาพสองฝั่งโขง ร้อยใจลาว-ไทยน้องพี่เข้าด้วยกัน จากสะพานมิตรภาพๆ แม่น้ำโขงก็ขยายตัวกว้างใหญ่ ทอดผ่านเมืองสองฟากฝั่งที่ล้วนเป็นเมืองสำคัญของสองประเทส เช่น เมืองบึงกาฬ เมืองบอลิคัน เมืองนครพนม และเมืองท่าแขก จนมาพบกับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นแม่น้ำโขงก็ไหลต่อลงไปผ่านเมืองเขมราฐ ก่อให้เกิดแก่งหินที่สวยงามขึ้นอีกหลายชุดก่อนจะไปสุดท้ายออกจากประเทสไทยที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ระหว่างทางเดินของแม่น้ำโขงได้ก่อให้เกิดสิ่งดีๆ มากหลาย ประชาชนสองฟากฝั่งใช้แม่น้ำโขงเป็นแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากินด้านการเกษตรมากมาย ที่หน้าเมืองนครพนมและเมืองเวียงจันทน์เกิดเป็นหาดทรายกว้างใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของทั้งสองประเทศ งานเทศกาลประเพณีที่เกี่ยวข้องกัยการท่องเที่ยว เช่น ประเพณีแข่งเรือ ประเพณีไหลเรือไฟ และปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น ก่อให้เกิดการทางท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง
แม่น้ำมูน เป็นแม่น้ำสายกว้างใหญ่และยาวที่สุดในอีสาน เกิดขึ้นจากแนวทิวเขาสันกำแพงบางส่วน และทิวเขาพนมดงรักอีกบางส่วน แม่น้ำมูนไหลลงไปกลายเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำโขง ตรงจุดที่แม่น้ำมูนไหลลงแม่น้ำโขงเรียกว่าแม่น้ำสองสี เมืองโขงเจียม
ส่วน แม่น้ำชี ต้นกำเนิดคือแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ แล้วไหลผ่านไปยังที่ราบตอนกลางของภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร แล้วไหลมาลงยังแม่น้ำมูนที่จังหวัดอุบลราชธานี ต่อจากนั้นจึงรวมกันไหลลงแม่น้ำโขงที่ปากมูลอีกต่อหนึ่ง
ถึงตรงนี้ อ.ส.ท. เราจึงฟันธงไปได้เลยว่า สุดยอดแห่งแม่น้ำอีสาน จะมีแม่น้ำไหนเกินแม่น้ำโขง บวกกับลำน้ำสาขา แม่น้ำมูน แม่น้ำชี เป็นไม่มี...ฟันธง
เส้นทางน้ำ
แม่น้ำมูลแม่น้ำมูลมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมา ไหลผ่านอำเภอเมือง อำเภอพิมาย อำเภอชุมพวง (จังหวัดนครราชสีมา), อำเภอสตึก (จังหวัดบุรีรัมย์ ), อำเภอท่าตูม (จังหวัดสุรินทร์), อำเภอราษีไศล อำเภอเมือง และ อำเภอกันทรารมย์ (จังหวัดศรีสะเกษ) บรรจบกับกับแม่น้ำชีบริเวณบ้านขอนไม้ยูง อำเภอวารินชำราบ (จังหวัดอุบลราชธานี) แล้วไหลผ่านอำเภอเมืองอุบลราชธานี อำเภอพิบูลมังสาหาร และไหลลงแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีความยาวทั้งหมดประมาณ 726 กิโลเมตร ลำน้ำสาขาที่สำคัญ ได้แก่ ลำตะคอง ลำพระเพลิง ลำปลายมาศ ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย ลำน้ำเสียว ลำเซบาย และลำมูลน้อย เป็นต้น ซึ่งใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
สองฝั่งเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงลุ่มน้ำมูลมีพื้นที่ลุ่มน้ำ 69,701 ตร.กม. หรือ 43-56 ล้านไร่หรือ 13.6% ของพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งประเทศครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ปริมาณน้ำไหลลงสู่แม่น้ำโขงเฉลี่ยประมาณ 26,655 ล้าน ลูกบาศก์เมตรปี
สาขาแม่น้ำมูล
ลำตะคอง
ลำพระเพลิง
ลำแซะ
ลำจักราช
ลำปลายมาศ
ลำนางรอง
ลำชี
ห้วยสำราญ
ห้วยตามาย
ลำโดมใหญ่
ลำโดมน้อย
ลำพังชู
ลำเซบก
ลำเซบาย
ขุนเขาแห่งการท่องเที่ยว...ภูกระดึง
เมื่อเอ่ยถึงภูเขา สิ่งที่ไปกันได้ดีก็คือเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะบนภูเขามีสิ่งดึงดูดความสนใจให้ขึ้นไปเที่ยวชมมากมาย อย่างพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ป่าใหญ่ๆ ดอกไม้ป่างามๆ น้ำตกบึ้มๆ หน้าผาและจุดชมวิวสวยๆ ไม่เพียงเท่านั้นอุณหภูมิบนภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนก็หนาวเย็น สร้างบรรยากาศโรแมนติก ชวนให้เบียดกายใกล้ชิดสนิดแนบ เหมาะแก่การพาคู่รักหรือเพื่อนร่วมใจไปสนุกสนานเปลี่ยนบรรยากาศ ภูเขาจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับของผู้คนทั่วโลก
แนวทิวเขาของอีสานประกอบไปด้วยแนวทิวขาเพชรบูรณ์และแนวทิวเขาดงพญาเย็น ที่เป็นเสมือนสันกั้นพรมแดนระหว่างภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน จากที่ราบลุ่มภาคกลางจะขึ้นสู่ที่ราบสูงอีสานก็ต้องทะลุแนวภูเขานี้ขึ้นไปทั้งสิ้น ต่ำลงมาประชิดกับภาคตะวันออกชายฝั่งทะเล คือเทือกเขาสันกำแพง ที่ด้านหนึ่งเป็นจังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว กับอีกด้านหนึ่งก็คือพื้นที่อำเภอโนนสูง เสิงสาง และครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ทิวเขานี้ยังเชื่อมโยงต่อไปถึงพนมดงรัก ซึ่งเป็นแนวกั้นอีสานกับดินแดนกัมพูชาและ สปป. ลาว และทั้งหมดนี้ก็คือ แนวภูเขาที่กั้นอีสานออกเป็นเอกเทศ แทบจะเป็นที่ราบกลมๆ บนที่สูง จากอีสานจะลงมาภาคกลางหรือไปภาคเหนือ อย่างไรเสียก็ต้องเจอภูเขา จะไปตามทางราบๆ ตลอดไม่ได้
นอกจากนี้ อีสานยังมีแนวเทือกเขาภูพานที่เป็นเส้นตัดขวางแบ่งกั้นให้เกิดเป็นอีสานเหนือ คือ จังหวัดอุดรธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม และเลย และอีสานใต้ที่มีอยู่อีกมากมายหลายจังหวัด ทั้งหมดเสมือนถูกตัดแยกออกจากกันอย่างเด่าชัดด้วยเทือกเขาภูพานแห่งนี้
และในบรรดาเทือกภูเขาสูงอีสานหลากหลายนี้ เทือกเขาเพชรบูรณ์ดูจะเป็นเทือกเขาที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุด ก่อให้เกิดภูเขาย่อยๆ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีความหลากหลายของสรรพชีวิตสวยงามมากมายหลายแห่ง และหากจะกล่าวกันถึงเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ก็เชื่อแน่ว่าไม่มีใครปฏิเสธ หากจะยกตำแหน่งสุดยอดภูเขาท่องเที่ยวให้กับภูกระดึง แห่งเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย
ภูกระดึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ที่ไม่เคยเสื่อมคลายมนตร์ขลัง เพราะที่นี่มีทุกๆ อย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ จุดเด่นของภูกระดึงคือความสวยงามของภูเขา สายหมอกหน้าผา พรรณไม้ และสัตว์ป่า กล่าวกันว่า ถ้านักท่องเที่ยวจะเริ่มต้นออกเดินทางท่องธรรมชาติ ภูกระดึงจะเป็นเสมือนโรงเรียนประถมต้นของการท่องเที่ยวภูเขากันเลยที่เดียว
ตามตำนานภูกระดึงนั้น มีเรื่องเล่าว่า มีพรานผู้หนึ่งตามล่ากระทิงโทน ขึ้นไปจนถึงบนยอดเขาลูกหนึ่งในเขตตำบลศรีฐาน ได้พบพื้นที่บนยอดเขาราบเรียบและกว้างใหญ่มากเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน มีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างเรียงรายเป็นระเบียบ และยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้างป่า ฝูงกระทิง เก้ง กวาง ซึ่งหากินอยู่เป็นฝูง ๆ ไม่ตระหนกตื่นกลัวนายพราน เนื่องจากไม่เคยเห็นคนมาก่อน นับจากนั้นมา ภูกระดึงก็เริ่มเปิดตัวเองสู่สายตาชาวโลก
ภูกระดึงซึ่งธรรมชาติได้ปิดซ่อนเร้นมานานก็ถูกเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักแต่นั้นมาจากการเล่าลือกันมาแต่โบราณว่า มีผู้ได้ยินเสียงระฆังของพระอินทร์ที่อยู่บนเขานี้ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า ภูกระดึง หรือ ภูกะดึง เพราะคำว่า “ภู” หมายถึง ภูเขา และ “กระดึง” มาจาก “กระดิ่ง” ภาษาพื้นเมืองจังหวัดเลยแปลว่า “ระฆังใหญ่”นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับขนานนามว่า “ภูกระดึง”
ภูกระดึง เป็นที่รู้จักกันมานาน ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 สมุหเทศาภิบาล (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม)ได้ทำรายงานสภาพภูมิศาสตร์เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย และต่อมาในปี พ.ศ.2463 นายอำเภอวังสะพุง ซึ่งปกครองท้องที่เขตภูกระดึงในขณะนั้นได้ขึ้นไป สร้างพระพุทธรูปไว้บนยอดภูกระดึงองค์หนึ่ง ในปี พ.ศ. 2486 ทางราชการได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าภูกระดึงให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติและกรมป่าไม้ เริ่มดำเนินการสำรวจ เพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นที่ภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นแห่งแรก แต่เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณและเจ้าหน้าที่จึงให้ดำเนินการไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มารู้จักกับอุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง
ภูกระดึง นับเป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เวลาเปิด-ปิด ภูกระดึง
สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 – 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย
งานทุ่งดอกกระเจียวบาน 2554
งานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม จังหวัดชัยภูมิ ประจำปี 2554
งานวันดอกกระเจียวงาม ทุกปี จะเริ่มงานตั้งแต่ ช่วงเดือน มิถุนายน กรกฏาคม และสิงหาคม ของทุกๆปี โดยช่วงแรกต้นเดือนมิถุนายนจะจัดงาน "วันกระเจียวคืนทุ่ง" โดย อบต.บ้านไร่ และทุกอบต.ในเขต อ.เทพสถิต พร้อมขบวนรถบุปผาชาติจากเหล่าอบต. และโรงเรียนในเขตบ้านไร่รวม 16 ขบวนและชมสาวงามจากชาวบ้านไร่ ในงานประกวด "เทพธิดาดอกกระเจียว"
ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงามนี้ ท่านสามารถสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นสบายเกือบตลอดปีโดยเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ 4 - 25 องศา (ในช่วงกลางคืน) และช่วงกลางวัน เฉลี่ยเดือนเมษายน ไม่เคยเกิน 32 องศาจึงทำให้หลาย ๆ ท่านที่ได้แวะมา ณ อุทยานฯ แห่งนี้เป็นครั้งแรก ต้องแปลกใจกับอากาศที่ แตกต่างจากกรุงเทพฯอย่างสิ้นเชิงและอีกหลาย ๆ ท่านที่เดินทางมาจากทางภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า..."อากาศที่นี่ ดีกว่าบ้านเค้าด้วยซ้ำ" และอีกหลายท่านที่เดินทางมาจากทางวังน้ำเขียว (อากาศดีติด 1 ใน 7 ของโลก) ยังคาดไม่ถึงว่าที่นี่อากาศไม่แพ้บ้านเค้าเลยนั่นเป็นเพียงการกล่าวจากหลาย ๆ ท่านที่เราได้ยินได้ฟังมา ...แต่จะเป็นจริงดั่งนี้หรือไม่ "ท่านต้องมาพิสูจน์" ด้วยตัวท่านเองและอีกกรณีหนึ่ง หลายท่านที่เดินทางมา ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ยังได้กล่าวให้ได้ยินบ่อยครั้งว่า.....ท่านใดมาเที่ยวที่นี่ หากไม่ได้นอนค้างสัมผัสหมอก และอากาศเย็นในยามค่ำ ณ บนอุทยานฯ นี้ "ท่านมาไม่ถึง"
ทุ่งดอกกระเจียว ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นพรรณไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพียงปีละครั้งเท่านั้นจะเริ่มแทงหน่อใบหูกระต่ายในช่วงต้นฝนประมาณกลางเดือนพฤษภาคม และจะเริ่มแทงหน่อดอกในช่วงต้นเดือนมิถุนายนสีของดอกกระเจียว จะออกสีชมพูอมม่วง และสีขาว ปัจจุบันมีอยู่หลายสายพันธุ์อีกหนึ่งความงามจากธรรมชาติ ที่ชูช่อเป็นชั้นเหลื่อมสีชมพูอมม่วงคือ พลอยชมพู จะออกดอกช่วงปลายกรกฏาคมความงามของดอกกระเจียว ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นจะไสวพริ้ว ไปจนถึงช่วงกลางเดือนสิงหาคม ของทุกปี หากท่านไม่ได้มาในช่วงเวลาดังกล่าว คงต้องรอปีต่อไปจึงจะได้มาสัมผัสความงามจากธรรมชาตินี้ดอกกระเจียว เป็นพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นที่นี่ ซึ่งจัดว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย ช่วงเวลาดังกล่าว ต่างแย่งกันชูช่อพริ้วไสวไปตามสายลมหนาว นอกฤดู ปูพรมด้วยผืนหญ้าสีเขียว ชุ่มช่ำด้วยหยาดน้ำค้าง อาบฉากหลังด้วยม่านสายหมอก ในยามรับรุ่งอรุณของวันใหม่ จึงเหมาะแก่การขึ้นเยือนบนผืน ทุ่งดอกกระเจียวขนาดใหญ่กว่า 1000 ไร่ ในยามเช้าตรู่เพราะหากสายกว่านี้บรรยากาศในการเข้าเยี่ยมสัมผัสจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดินการเข้าไปยังทุ่งดอกกระเจียว ท่านต้องนำรถไปจอดที่ลานจอดรถขนาดใหญ่ซ้ายมือก่อนถึงอุทยานฯ 500 เมตร หรือนำรถจอดบริเวณลานจอดรถที่ทางอุทยานฯ จัดให้ แล้วจึงนั่งรถสองแถวท้องถิ่นที่จอดรอรับนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าอุทยานฯ โดยรถจะจอดให้ท่านลง ณ จุดท่องเที่ยวต่าง ๆและท่านสามารถขึ้น-ลง รถคันใด ๆ ก็ได้ โดยขากลับลงมา รถฯ จะส่งท่านยังจุดเดิมที่ท่านขึ้นครั้งแรก
กิจกรรมในงาน
กิจกรรมมากมายในเทศกาลนี้ อาทิ ขบวนแห่กระเจียวคืนทุ่ง การแสดงดนตรีจากนักเรียนของอำเภอเทพสถิต การแข่งขันเดินเพื่อการกุศล ชมสวนหินงามป่าหินล้านปีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติปั้นแต่งตามแต่จะสุดจินตนาการ การแสดงและจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ
อีกทั้งทุ่งดอกกระเจียวสีขาว สีเขียวและสีชมพูอมม่วง น้ำตกไทรทอง และจุดชมวิวผาหำหดของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็เป็นอีกสถานที่ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยว ด้วยหัวใจใหม่ อันจะส่งผลให้การท่องเที่ยวของจังหวัดชัยภูมิยั่งยืนได้
สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่:
ประชาสัมพันธ์จังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4482 2502
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1376
ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1218
หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1511
ททท.สำนักงานนครราชสีมา โทรศัพท์ 0 4421 3030, 0 4421 3666 ทุกวันในเวลาราชการ
การเดินทาง
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
- จากกรุงเทพฯ เดินทางตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีไปยังสามแยกพุแค แล้วเลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 ไปยังบ้านลำนารายณ์ จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 เส้นทางลำนารายณ์-ลำสนธิ-เทพสถิต-หนองบัวโคก-นครราชสีมาเดินทางจากบ้านลำนารายณ์ประมาณ 48 กิโลเมตร ก่อนถึงที่ทำการอำเภอเทพสถิตประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปอำเภอหนองบัวระเหว ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ถึงทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านไร่ ใช้ระยะทางอีกประมาณ 14 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยาน จะมีป้ายบอกตลอดทาง
- จากจังหวัดนครราชสีมา ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 ผ่านอำเภอโนนไทย บ้านหนองบัวโคก บ้านคำปิง เมื่อเลยอำเภอเทพสถิตมาประมาณ 1 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก็จะถึง ที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร
2. โดยรถโดยสารประจำทาง
- เริ่มต้นจากจังหวัดนครราชสีมา (สถานีขนส่งแห่งที่ 2 นครราชสีมา)
1.สายนครราชสีมา - เพชรบูรณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบก)
2.สายนครราชสีมา – หล่มสัก
3.สายนครราชสีมา – ลำนารายณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบก) (เป็นรถของบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด
เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 16.30 น.) ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางถึงอุทยาน แห่งชาติ ป่าหินงาม ใช้เวลาอีก 30 นาที
- จากจังหวัดชัยภูมิ (สถานีขนส่งชัยภูมิ)
1.สายชัยภูมิ – ลำนารายณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้นรถโดยสาร /ประจำทางต่อไปยังอุทยานฯ ประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อีกประมาณ 30 นาที)เป็นรถของ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 06.15น. เที่ยวสุดท้าย 15.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
2.สายชัยภูมิ - สถิต (ลงปลายทางที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
อีก 18 กิโลเมตร (เที่ยวแรก 07.00 น. เที่ยวสุดท้าย 16.00 น.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
3.สายชัยภูมิ - กรุงเทพฯ (ลงปลายทางที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถโดยสาร ประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติ
ป่าหินงาม อีก 18 กิโลเมตร เป็นรถปรับอากาศ (เที่ยวแรก 07.00 น. เที่ยวสุดท้าย 16.00 น.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ2 ชั่วโมง
-จากบ้านลำนารายณ์อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี (สถานีขนส่งลำนารายณ์)
1.สายลำนารายณ์ – นครราชสีมา (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้น รถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม) เป็นรถของ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
2.สายลำนารายณ์ - ชัยภูมิ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติิป่าหินงาม) เป็นรถของบริษัทนครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
- จากกรุงเทพมหานคร (สถานีขนส่งหมอชิต 2)
1.สายกรุงเทพฯ - ชัยภูมิ หมายเลข 9909 ผ่านอำเภอเทพสถิต (ลงปลายทาง ที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถ โดยสารประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงามอีก 18 กิโลเมตร เป็นรถของบริษัทแอร์ชัยภูมิ จำกัด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง เป็นรถปรับอากาศ เที่ยวแรก 10.00 น. บริษัทแอร์ชัยภูมิ&
โทรศัพท0-4481-1556
2. สายกรุงเทพฯ - ชัยภูมิ หมายเลข 28 (ลงปลายทางที่หนองบัวโคก) แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อำเภอเทพสถิต (ท่ารถวะตะแบก) อีก 54 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง รถออกทุกชั่วโมง มีบริการเดินรถ สายกรุงเทพฯ- เทพสถิต - ชัยภูมิ
3.รถไฟ
ติดต่อขอ รถไฟ จากสถานีรถไฟหัวลำโพง กทม. ผ่านเขื่อน ป่าสักชลสิทธิิ์ถึงสถานี รถไฟวะตะแบก (เทพสถิต) จากนั้นเดินทางต่อโดยรถโดยสาร ระยะทาง ประมาณ35 กิโลเมตร เพื่อไปสู่อุทยานป่าหินงามการรถไฟแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 1609, 0-2223-7010, 0-2223-7020
งานวันดอกกระเจียวงาม ทุกปี จะเริ่มงานตั้งแต่ ช่วงเดือน มิถุนายน กรกฏาคม และสิงหาคม ของทุกๆปี โดยช่วงแรกต้นเดือนมิถุนายนจะจัดงาน "วันกระเจียวคืนทุ่ง" โดย อบต.บ้านไร่ และทุกอบต.ในเขต อ.เทพสถิต พร้อมขบวนรถบุปผาชาติจากเหล่าอบต. และโรงเรียนในเขตบ้านไร่รวม 16 ขบวนและชมสาวงามจากชาวบ้านไร่ ในงานประกวด "เทพธิดาดอกกระเจียว"
ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงามนี้ ท่านสามารถสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นสบายเกือบตลอดปีโดยเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ 4 - 25 องศา (ในช่วงกลางคืน) และช่วงกลางวัน เฉลี่ยเดือนเมษายน ไม่เคยเกิน 32 องศาจึงทำให้หลาย ๆ ท่านที่ได้แวะมา ณ อุทยานฯ แห่งนี้เป็นครั้งแรก ต้องแปลกใจกับอากาศที่ แตกต่างจากกรุงเทพฯอย่างสิ้นเชิงและอีกหลาย ๆ ท่านที่เดินทางมาจากทางภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า..."อากาศที่นี่ ดีกว่าบ้านเค้าด้วยซ้ำ" และอีกหลายท่านที่เดินทางมาจากทางวังน้ำเขียว (อากาศดีติด 1 ใน 7 ของโลก) ยังคาดไม่ถึงว่าที่นี่อากาศไม่แพ้บ้านเค้าเลยนั่นเป็นเพียงการกล่าวจากหลาย ๆ ท่านที่เราได้ยินได้ฟังมา ...แต่จะเป็นจริงดั่งนี้หรือไม่ "ท่านต้องมาพิสูจน์" ด้วยตัวท่านเองและอีกกรณีหนึ่ง หลายท่านที่เดินทางมา ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ยังได้กล่าวให้ได้ยินบ่อยครั้งว่า.....ท่านใดมาเที่ยวที่นี่ หากไม่ได้นอนค้างสัมผัสหมอก และอากาศเย็นในยามค่ำ ณ บนอุทยานฯ นี้ "ท่านมาไม่ถึง"
ทุ่งดอกกระเจียว ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นพรรณไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพียงปีละครั้งเท่านั้นจะเริ่มแทงหน่อใบหูกระต่ายในช่วงต้นฝนประมาณกลางเดือนพฤษภาคม และจะเริ่มแทงหน่อดอกในช่วงต้นเดือนมิถุนายนสีของดอกกระเจียว จะออกสีชมพูอมม่วง และสีขาว ปัจจุบันมีอยู่หลายสายพันธุ์อีกหนึ่งความงามจากธรรมชาติ ที่ชูช่อเป็นชั้นเหลื่อมสีชมพูอมม่วงคือ พลอยชมพู จะออกดอกช่วงปลายกรกฏาคมความงามของดอกกระเจียว ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นจะไสวพริ้ว ไปจนถึงช่วงกลางเดือนสิงหาคม ของทุกปี หากท่านไม่ได้มาในช่วงเวลาดังกล่าว คงต้องรอปีต่อไปจึงจะได้มาสัมผัสความงามจากธรรมชาตินี้ดอกกระเจียว เป็นพันธุ์ไม้ที่เกิดขึ้นที่นี่ ซึ่งจัดว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย ช่วงเวลาดังกล่าว ต่างแย่งกันชูช่อพริ้วไสวไปตามสายลมหนาว นอกฤดู ปูพรมด้วยผืนหญ้าสีเขียว ชุ่มช่ำด้วยหยาดน้ำค้าง อาบฉากหลังด้วยม่านสายหมอก ในยามรับรุ่งอรุณของวันใหม่ จึงเหมาะแก่การขึ้นเยือนบนผืน ทุ่งดอกกระเจียวขนาดใหญ่กว่า 1000 ไร่ ในยามเช้าตรู่เพราะหากสายกว่านี้บรรยากาศในการเข้าเยี่ยมสัมผัสจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดินการเข้าไปยังทุ่งดอกกระเจียว ท่านต้องนำรถไปจอดที่ลานจอดรถขนาดใหญ่ซ้ายมือก่อนถึงอุทยานฯ 500 เมตร หรือนำรถจอดบริเวณลานจอดรถที่ทางอุทยานฯ จัดให้ แล้วจึงนั่งรถสองแถวท้องถิ่นที่จอดรอรับนักท่องเที่ยวบริเวณทางเข้าอุทยานฯ โดยรถจะจอดให้ท่านลง ณ จุดท่องเที่ยวต่าง ๆและท่านสามารถขึ้น-ลง รถคันใด ๆ ก็ได้ โดยขากลับลงมา รถฯ จะส่งท่านยังจุดเดิมที่ท่านขึ้นครั้งแรก
กิจกรรมในงาน
กิจกรรมมากมายในเทศกาลนี้ อาทิ ขบวนแห่กระเจียวคืนทุ่ง การแสดงดนตรีจากนักเรียนของอำเภอเทพสถิต การแข่งขันเดินเพื่อการกุศล ชมสวนหินงามป่าหินล้านปีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติปั้นแต่งตามแต่จะสุดจินตนาการ การแสดงและจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ
อีกทั้งทุ่งดอกกระเจียวสีขาว สีเขียวและสีชมพูอมม่วง น้ำตกไทรทอง และจุดชมวิวผาหำหดของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็เป็นอีกสถานที่ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยว ด้วยหัวใจใหม่ อันจะส่งผลให้การท่องเที่ยวของจังหวัดชัยภูมิยั่งยืนได้
สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่:
ประชาสัมพันธ์จังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4482 2502
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1376
ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1218
หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ โทรศัพท์ 0 4481 1511
ททท.สำนักงานนครราชสีมา โทรศัพท์ 0 4421 3030, 0 4421 3666 ทุกวันในเวลาราชการ
การเดินทาง
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
- จากกรุงเทพฯ เดินทางตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดสระบุรีไปยังสามแยกพุแค แล้วเลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 ไปยังบ้านลำนารายณ์ จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 เส้นทางลำนารายณ์-ลำสนธิ-เทพสถิต-หนองบัวโคก-นครราชสีมาเดินทางจากบ้านลำนารายณ์ประมาณ 48 กิโลเมตร ก่อนถึงที่ทำการอำเภอเทพสถิตประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปอำเภอหนองบัวระเหว ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ถึงทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านไร่ ใช้ระยะทางอีกประมาณ 14 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยาน จะมีป้ายบอกตลอดทาง
- จากจังหวัดนครราชสีมา ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 ผ่านอำเภอโนนไทย บ้านหนองบัวโคก บ้านคำปิง เมื่อเลยอำเภอเทพสถิตมาประมาณ 1 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก็จะถึง ที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร
2. โดยรถโดยสารประจำทาง
- เริ่มต้นจากจังหวัดนครราชสีมา (สถานีขนส่งแห่งที่ 2 นครราชสีมา)
1.สายนครราชสีมา - เพชรบูรณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบก)
2.สายนครราชสีมา – หล่มสัก
3.สายนครราชสีมา – ลำนารายณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบก) (เป็นรถของบริษัท นครชัยแอร์ จำกัด
เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 16.30 น.) ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางถึงอุทยาน แห่งชาติ ป่าหินงาม ใช้เวลาอีก 30 นาที
- จากจังหวัดชัยภูมิ (สถานีขนส่งชัยภูมิ)
1.สายชัยภูมิ – ลำนารายณ์ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้นรถโดยสาร /ประจำทางต่อไปยังอุทยานฯ ประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อีกประมาณ 30 นาที)เป็นรถของ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 06.15น. เที่ยวสุดท้าย 15.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
2.สายชัยภูมิ - สถิต (ลงปลายทางที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
อีก 18 กิโลเมตร (เที่ยวแรก 07.00 น. เที่ยวสุดท้าย 16.00 น.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
3.สายชัยภูมิ - กรุงเทพฯ (ลงปลายทางที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถโดยสาร ประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติ
ป่าหินงาม อีก 18 กิโลเมตร เป็นรถปรับอากาศ (เที่ยวแรก 07.00 น. เที่ยวสุดท้าย 16.00 น.) ใช้เวลาเดินทางประมาณ2 ชั่วโมง
-จากบ้านลำนารายณ์อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี (สถานีขนส่งลำนารายณ์)
1.สายลำนารายณ์ – นครราชสีมา (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้น รถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม) เป็นรถของ บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
2.สายลำนารายณ์ - ชัยภูมิ (ลงปลายทางที่ท่ารถวะตะแบกแล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติิป่าหินงาม) เป็นรถของบริษัทนครชัยแอร์ จำกัด เที่ยวแรก 05.30 น. เที่ยวสุดท้าย 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
- จากกรุงเทพมหานคร (สถานีขนส่งหมอชิต 2)
1.สายกรุงเทพฯ - ชัยภูมิ หมายเลข 9909 ผ่านอำเภอเทพสถิต (ลงปลายทาง ที่สามแยกบ้านไร่) แล้วขึ้นรถ โดยสารประจำทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติป่าหินงามอีก 18 กิโลเมตร เป็นรถของบริษัทแอร์ชัยภูมิ จำกัด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง เป็นรถปรับอากาศ เที่ยวแรก 10.00 น. บริษัทแอร์ชัยภูมิ&
โทรศัพท0-4481-1556
2. สายกรุงเทพฯ - ชัยภูมิ หมายเลข 28 (ลงปลายทางที่หนองบัวโคก) แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง อำเภอเทพสถิต (ท่ารถวะตะแบก) อีก 54 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง รถออกทุกชั่วโมง มีบริการเดินรถ สายกรุงเทพฯ- เทพสถิต - ชัยภูมิ
3.รถไฟ
ติดต่อขอ รถไฟ จากสถานีรถไฟหัวลำโพง กทม. ผ่านเขื่อน ป่าสักชลสิทธิิ์ถึงสถานี รถไฟวะตะแบก (เทพสถิต) จากนั้นเดินทางต่อโดยรถโดยสาร ระยะทาง ประมาณ35 กิโลเมตร เพื่อไปสู่อุทยานป่าหินงามการรถไฟแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 1609, 0-2223-7010, 0-2223-7020
งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ในงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี
ระติมากรรมเทียนนานาชาติ “Sustain Heart Sustain World”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านร่วมงานแห่เทียนพรรษา และร่วมชื่นชมการสร้างสรรค์ชิ้นงานประติมากรรมเทียนแกะสลักระดับนานาชาติ แห่งเดียวในโลกจากศิลปินผู้มีชื่อเสียงด้านงานศิลปะ ภายใต้แนวคิด “Sustain Heart Sustain World” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ทั้งนี้อยู่ในกรอบการสร้างชิ้นงานประติมากรรมผสมผสานโดยใช้เทียน (ขี้ผึ้ง) เป็นวัสดุหลักในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเสริมกับขบวนแห่เทียนจังหวัดอุบลราชธานี โดยศิลปินนานาชาติจะเริ่มลงมือสร้างสรรค์ผลงาน ตั้งแต่วันที่ 1-14 กรกฎาคม 2554 และเริ่มแสดงผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 14-31 กรกฎาคม 2554
ภายในงานได้จัดกิจกรรม “เยือนศิลปิน 9 คุ้มศิลปะ“ ณ บริเวณสถานที่วัดและชุมชนต่างๆ ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น การแสดงทางวัฒนธรรม การสาธิต ศิลปกรรมอุบล การออกร้าน นิทรรศการมีชีวิต ฯลฯ โดยเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้มาเที่ยวชมตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม
พร้อมกันนี้นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสกับขบวนแห่เทียนพรรษาที่มีความงดงามและยิ่งใหญ่ระดับโลก ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 และร่วมเวียนเทียนร่วมกันในบรรยากาศของชาวพุทธ เนื่องในวันเข้าพรรษา ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ณ.จังหวัดอุบลราชธานี
ตารางกิจกรรม
สัปดาห์ที่ 1 (1-10 กรกฎาคม) Enlighten Ubon Enlighten Wisdom สว่างไสว…ในภูมิปัญญา
สัปดาห์ที่ 2 (11-18 กรกฎาคม) Enlighten Ubon Enlighten Dhama สว่างไสว…ในธรรม
สัปดาห์ที่ 3 (19-24 กรกฎาคม) Enlighten Heart Enlighten Art สว่างไสว…กับศิลปะ
สัปดาห์ที่ 4 (25-31 กรกฎาคม) Enlighten Heart Enlighten World สว่างไสว…น้ำใจยั่งยืน
เพื่อสร้างภาพลักษณ์และให้เกิดการเรียนรู้ของชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยว และกลุ่มศิลปิน ในเรื่องของศาสนา ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณีของไทยในงานแห่เทียนพรรษา และเป็นการยกระดับกิจกรรมประเพณีท้องถิ่นให้พัฒนาสู่ระดับนานาชาติ สร้างทางเลือกใหม่ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางมาเยือนในโอกาสต่อๆ ไป
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านร่วมงานแห่เทียนพรรษา และร่วมชื่นชมการสร้างสรรค์ชิ้นงานประติมากรรมเทียนแกะสลักระดับนานาชาติ แห่งเดียวในโลกจากศิลปินผู้มีชื่อเสียงด้านงานศิลปะ ภายใต้แนวคิด “Sustain Heart Sustain World” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ทั้งนี้อยู่ในกรอบการสร้างชิ้นงานประติมากรรมผสมผสานโดยใช้เทียน (ขี้ผึ้ง) เป็นวัสดุหลักในการสร้างสรรค์ชิ้นงานเสริมกับขบวนแห่เทียนจังหวัดอุบลราชธานี โดยศิลปินนานาชาติจะเริ่มลงมือสร้างสรรค์ผลงาน ตั้งแต่วันที่ 1-14 กรกฎาคม 2554 และเริ่มแสดงผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 14-31 กรกฎาคม 2554
ภายในงานได้จัดกิจกรรม “เยือนศิลปิน 9 คุ้มศิลปะ“ ณ บริเวณสถานที่วัดและชุมชนต่างๆ ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น การแสดงทางวัฒนธรรม การสาธิต ศิลปกรรมอุบล การออกร้าน นิทรรศการมีชีวิต ฯลฯ โดยเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้มาเที่ยวชมตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม
พร้อมกันนี้นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสกับขบวนแห่เทียนพรรษาที่มีความงดงามและยิ่งใหญ่ระดับโลก ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554 และร่วมเวียนเทียนร่วมกันในบรรยากาศของชาวพุทธ เนื่องในวันเข้าพรรษา ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ณ.จังหวัดอุบลราชธานี
ตารางกิจกรรม
สัปดาห์ที่ 1 (1-10 กรกฎาคม) Enlighten Ubon Enlighten Wisdom สว่างไสว…ในภูมิปัญญา
สัปดาห์ที่ 2 (11-18 กรกฎาคม) Enlighten Ubon Enlighten Dhama สว่างไสว…ในธรรม
สัปดาห์ที่ 3 (19-24 กรกฎาคม) Enlighten Heart Enlighten Art สว่างไสว…กับศิลปะ
สัปดาห์ที่ 4 (25-31 กรกฎาคม) Enlighten Heart Enlighten World สว่างไสว…น้ำใจยั่งยืน
เพื่อสร้างภาพลักษณ์และให้เกิดการเรียนรู้ของชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยว และกลุ่มศิลปิน ในเรื่องของศาสนา ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณีของไทยในงานแห่เทียนพรรษา และเป็นการยกระดับกิจกรรมประเพณีท้องถิ่นให้พัฒนาสู่ระดับนานาชาติ สร้างทางเลือกใหม่ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางมาเยือนในโอกาสต่อๆ ไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)